ซื้อหุ้นต่างประเทศดีไหมในปี 2565 และซื้อยังไง
ทำไมควรซื้อหุ้นต่างประเทศในปี 2565? เพราะเพื่อกระจายควา…
ในบทนี้ เราจะแนะนำความรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับการซื้อหุ้นต่างประเทศ ได้แก่ :
ซื้อทำไม?
ปกติ นักลงทุนจะพิจารณาลงทุนหุ้นของประเทศตนเองก่อน ไม่เพียงแต่ค่อนข้างคุ้นเคยกับบริษัทภายในประเทศเท่านั้น ยังรู้สึกว่าปลอดภัยและสะดวกกว่านั่นเอง แต่ปัจจุบัน พร้อมด้วยเศรษฐกิจไทยค่อยๆ เติบโตช้าลง นักลงทุนส่วนใหญ่ร้องทุกข์ว่า สินทรัพย์ของพวกเขามันกำลังลดทีละขั้น ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ เราจะทำอะไรลงทุนอย่างไรที่ได้หลีกเลี่ยงความเสี่ยงมากขึ้น ลงทุนอย่างสมเหตุสมผลขึ้น และรับผลตอบแทนมากขึ้นนะคะ
วิธีที่ดีที่สุดของเราคือซื้อหุ้นต่างประเทศหรือซื้อกองทุนดัชนีหุ้น ฯลฯ ต่อไป เรามาอธิบายเหตุผลหลักอย่างละเอียดสามประการก่อน ซึ่งจะช่วยนักลงทุนเข้าใจสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดหุ้นในประเทศไทยปัจจุบัน:
- ประการแรก เศรษฐกิจของประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะโตได้ช้าลงและกำลังจะเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Completely Aged Society)
จากข้อมูลของกลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย:
ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา ( ข้อมูลระหว่างปี 58 – ปี 63 โดยนับตั้งแต่ปีวันที่ 14 ธ.ค. 58 – 14 ธ.ค. 63) เพิ่มขึ้นเพียง 6% ต่อปี ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นเวียดนาม และตลาดหุ้นฮ่องกง ทำผลตอบแทนจากการลงทุนได้ที่ 15%, 8%, และ 16% ต่อปี ตามลำดับ
ประโยคนี้แสดงว่า กำไรบริษัทจดทะเบียนไทยโตช้า จากการวิจัยของผู้เชี่ยวชาญ ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ โดยจะมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป ในอัตราร้อยละ 20 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ในปี 2565
มันคือสิ่งไม่ดีสำหรับคนไทย แต่สำหรับนักลงทุน เรายังมีโอกาสอื่นในการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ การนำเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนในต่างประเทศอย่างเหมาะสมจะไม่เพียงช่วยกระจายความเสี่ยง แต่ยังได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นในรูปแบบต่างๆ
- ประการที่สองก็คือ ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบรุนแรงจาก covid-19 และเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่อง
สภาพัฒน์ แถลงตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรก 2564 โต 2% ปรับคาการณ์ทั้งปี อยู่ที่ 0.7-1.2% ยืนยันเศรษฐกิจไทยยังไ่ม่เข้าสู่ภาวะถดถอย แต่แนวโน้มขยายตัวลดลงจากการแพร่ระบาดโควิด-19
ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน มันไม่ฉลาดเลยที่จะนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นต่อไป
ธปท. เผยภาค ภาพรวมเศรษฐกิจไทยคาดต้องใช้เวลาถึง 5-6 ปี ฟื้นไข้โควิด
หมายความว่า อย่างน้อยจนถึงปี 2567 จึงจะกลับสู่ระดับเศรษฐกิจก่อนปี 2562 อย่างนี้ เงินที่ทุนในตลาดหุ้นในปี 2562 ถึงตอนนี้ ไม่มีที่ว่างให้ชื่นชมมากนักก่อนปี 2567
ถ้าเงินก้อนนี้ไปลงทุนในหุ้น xxx คุณจะได้เงิน xxx บาท ในปี xxx แน่นอนว่าไม่มีใครบอกอนาคตได้ แต่สามารถคำนวณได้: หากซื้อหุ้นxxx xxxบาท xx ปีก่อน ในปี 2564 เงินกำไรที่จะได้รับจะกลายเป็น: xxxบาท!
เครื่องคิดเลขด้านล่าง จะช่วยคำนวณอัตราผลตอบแทนย้อนหลังของหุ้นหรือดัชนีต่างๆ มากขึ้น ลองคำนวณได้เลย
插件
- อีกประการหนึ่งก็คือ ประเภทของหุ้นไทยนั้นค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับหุ้นในโลก
เนื่องจากองค์ประกอบของอุตสาหกรรมไทย เราจึงไม่มีหุ้นเทคโนโลยี (Technology ทั้งหลายอย่าง Facebook, Google, Amazon และ Alibaba) และอื่นๆ เป็นหุ้นในอุตสาหกรรมดั้งเดิมส่วนใหญ่ แต่หุ้นเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นช่วงเวลาที่ร้อนและอาจมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต
ในตลาดหุ้นไทย หลายอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนโดยอุปสงค์ภายนอก เช่น การท่องเที่ยว โรงแรม และการบินระหว่างประเทศ ฯลฯ ประสบกับความพ่ายแพ้อย่างรุนแรงเนื่องจากโรคระบาดโควิด-19 แต่ประสบกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ประเภทบริษัทมีความหลากหลายมากกว่า เช่น หุ้นเทคโนโลยี หุ้นอีคอมเมิร์ซ และหุ้น e-sports ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะไม่ได้รับผลกระทบมากนักหรือฟื้นตัวได้เร็วหลัง หรือได้รับผลกระทบทางบวก ตัวอย่างเช่น Netflix ได้รับได้ประโยชน์จากการระบาดโควิด-19ด้วย เป็นหนึ่งในรับผลประโยชน์หลักของโรคระบาดมงกุฎใหม่ ในปี 2020 เพียงปีเดียวมูลค่าตลาดได้พุ่งสูงขึ้นถึง 70%
ดังนั้น การลงทุนในหุ้นหลายด้านมากขึ้น จะช่วยให้เรากระจายความเสี่ยงในการลงทุนและรับผลตอบแทนที่ดีขึ้น
หากคุณมั่นใจว่า การลงทุนในหุ้นต่างประเทศเป็นความคิดที่ดี ลองมาดูซื้อหุ้นตัวไหนดีนะคะ
เลือกหุ้นตัวไหนดี
สรุปว่า ในวันนี้ หุ้นสหรัฐฯ หุ้นฮ่องกง และหุ้นเวียดนามล้วนมีศักยภาพมหาศาล
อเมริกาในฐานะประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ซึ่งดึงดูดบริษัทจดทะเบียนที่ดีที่สุดหลายแห่ง ยกตัวอย่างหุ้นดังที่หลายๆ คนน่าจะรู้จัก เช่น Apple, Amazon, Alibaba, Facebook, Netflix, Microsoft, Tesla ฯลฯ ดังนั้น ลงทุนหุ้นอเมริกาเป็นทางเลือกที่ดีมาก เราสามารถพิจารณาลงทุนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลักสองแห่งของสหรัฐอเมริกา ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก(อักษรย่อ: NYSE) และตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก(อังกฤษ: NASDAQ)
NYSE เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น เศรษฐกิจ การเงิน อสังหาริมทรัพย์ และคมนาคมการขนส่ง ข้อกำหนดในการจดทะเบียนบริษัทนั้นเข้มงวด บริษัท 25 แห่งจากทั้งหมด 30 แห่งในเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ หรือดัชนี Dow Jones (อักษรย่อ: DJI) จดทะเบียนใน NYSE แสดงว่าหุ้นเหล่านี้ผ่านการทบทวนต่างๆ และได้รับการยอมรับ บริษัทฯ แข็งแกร่ง แต่ขาดความมีชีวิตชีวา
NASDAQ ได้รับความนิยมสูงสุดจากบริษัทที่กำลังเติบโตบางแห่ง บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่เน้นย้ำอุตสาหกรรมไฮเทคและคอมพิวเตอร์ อุตสาหกรรมเหล่านี้มีแนวโน้มกว้าง แต่อาจมีฟองสบู่
นอกจากนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน เหตุผลก็คือ ในปัจจุบัน สังคมเวียดนามกำลังอยู่ในช่วงพัฒนาอย่างรวดเร็ว และการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ กำลังเฟื่องฟู อีกอย่างหนึ่งคือ เวียดนามมีสังคมที่มั่นคง คนหนุ่มสาวจำนวนมาก และเป็นตลาดที่คึกคักมาก ดังนั้น ตลาดหุ้นเวียดนามในเวลานี้มีศักยภาพในการลงทุนสูง และเหมาะมากสำหรับผู้ที่อยากลงทุนในหุ้นต่างประเทศ
นอกจากการซื้อหุ้นจีนที่โดดเด่นในตลาดหุ้นอเมริกาแล้ว ยังซื้อได้ในตลาดหุ้นฮ่องกงอีกด้วย ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงินอันดับต้นๆของโลก มีมูลค่าตลาดมากกว่า 190 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าไทยเกือบ 12 เท่า บริษัทที่จดทะเบียนในฮ่องกง ได้แก่:
- เทนเซ็นต์ (TCEHY รหัส: 00700) เป็นบริษัทเทคจีนยักษ์ใหญ่
- อาลีบาบา (BABA รหัส: 09988) และจิงตง (JD รหัส: 09618) เป็นบริษัทอีคอมเมิร์ซจีนยักษ์ใหญ่
เป็นบริษัททางการเงินและการธนาคารมากมายของจีน เช่น:
- ธนาคารไอซีบีซี (IDCBY รหัส: 01398)
- ธนาคารเพื่อการก่อสร้างแห่งประเทศจีน (CICHY รหัส: 01398)
- ‘ผิงอัน’ หรือ Ping An Insurance (PNGAY รหัส: 02318) เป็นต้น
หลังจากอ่านเนื้อหาข้างต้น คุณกำลังคิดว่า เราควรเลือกอย่างไร และจะซื้อหุ้นเหล่านี้อย่างไรดี อยู่ใช่ไหม ไม่ต้องกังวล มาเริ่มหาวัตถุประสงค์ของการลงทุนของเราก่อน และหารูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมกับเราก่อน ด้วยอย่างนี้ เราจึงจะได้เลือกได้ดีขึ้นและบรรลุความคาดหวังที่ดีขึ้นเท่านั้น
ตัดสินใจว่าจะซื้อเพื่ออะไร
ที่แรก ก่อนที่เราจะเริ่ม เราต้องคิดว่า เราเป็นนักลงทุนประเภทใดและยอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน
- คือ รับความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง และอยากได้รับผลตอบแทนสูง เช่นสองเท่าในหนึ่งปี;
- หรือความเสี่ยงปานกลาง มีนิสัยจัดการเงินบางอย่าง แต่รู้สึกว่าตลาดหุ้นไทยไม่ได้มองในแง่ดีเมื่อเร็ว ๆ นี้ และอยากลงทุนอย่างแข็งขันเพื่อให้ได้ผลประโยชน์มากขึ้น;
- สุดท้ายคือ ยอมรับความเสี่ยงที่อ่อนแอ ไม่มีนิสัยจัดการเงินโดยปกติ อยากมอบเงินให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยจัดการ คาดว่า ตราบใดที่รายได้สามารถทนต่อภาวะเงินเฟ้อได้ มันก็จะไม่เสื่อมค่าลงเรื่อย ๆ ก็พอ
จากสถิติของ กลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วในปีนี้
นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 จนถึงวันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา เงินบาทอ่อนค่าประมาณ 5% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และอ่อนค่าประมาณ 6% เมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร ถือเป็นการอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 3 ปี รวมถึงอ่อนค่าประมาณ 12% เมื่อเทียบกับสกุลเงินปอนด์อังกฤษ นับเป็นการอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 5 ปี
ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัว และเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะถดถอย เงินบาทของเราจะน้อยลงในระยะต่อไป
ถ้าตั้งใจจะลงทุนระยะยาว เพื่อจุดประสงค์ที่เป็นเวลาครึ่งปีถึงหลายปี งั้นก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบว่า นี่เป็นการถือครองระยะยาว ไม่ต้องกลัวตลาดขึ้นๆ ลงๆ เมื่อตลาดขึ้น ขายดีใจในเวลาที่เหมาะสม และทำกำไรสักน้อย เมื่อตลาดลง ซื้อมาเพื่อลดต้นทุน นี่คือแนวคิดในการลงทุนที่เรียกว่า “ลงทุนประจำ” กล่าวย่อๆ ก็คือ การลงทุนเป็นงานประจำวัน และพยายามลดผลกระทบจากอารมณ์และทำให้มีพฤติกรรมที่ไม่ลงตัว
หากอยากเก็งกำไรในระยะสั้นผ่านการขึ้นลงของราคาหุ้น จะเสียเวลากับพลังงานมากกว่าการลงทุนระยะยาว นอกจากนี้นักลงทุนยังต้องมีความรู้ความสามารถและความกล้าหาญในระดับสูงขึ้น นักลงทุนต้องมีวิสัยทัศน์และความเสี่ยงที่สูงขึ้น แต่แน่นอนว่า ผลตอบแทนจะสูงมากที่ทำถูกต้อง ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนประเภทไหน ก็มีทิศทางการลงทุนที่เหมาะสม
ซื้อหุ้นต่างประเทศที่ไหน
ลงทุนผ่าน “โบรกเกอร์ในไทย”(OffShore Investment) เราสามารถเปิดบัญชีซื้อหุ้นสหรัฐและหุ้นต่างประเทศอื่นๆ ได้ เราไม่เพียงแต่ซื้อหุ้นเท่านั้น ยังเทรดกองทุนรวมที่มีหุ้นต่างประเทศได้ซิ
แต่ข้อเสียของวิธีนี้คือ มีหลายๆ ขั้นตอน การเปิดบัญชียุ่งยากมาก; ค่าธรรมเนียมการจัดการก็สูง; กำหนดจำนวนเงินขั้นต่ำในการเปิดบัญชี เฉลี่ยประมาณ 10,000 บาท; ซื้อสปอตได้ แต่ถ้าถือครองหุ้นสหรัฐฯ อยู่ อาจต้องจ่ายภาษีและค่าธรรมเนียมสูง
เหมาะกับนักลงทุนที่มีงบลงทุนเยอะ ยกตัวอย่างเช่น
- บล. กสิกรไทย
- บล. ไทยพาณิชย์
- บล. ทิสโก้
- pomes
ลงทุนผ่านโบรกเกอร์สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD Broker) ยกตัวอย่างเช่น Mitrade.com
CFD (ย่อมาจาก Contract for Difference) คือตราสารอนุพันธ์ทางการเงินอย่างหนึ่ง ที่จริงก็คือ เราซื้อขายสัญญากับโบรกเกอร์ เราไม่ถือหุ้นจริง และรับรายได้จากการขึ้นและลงของราคาหุ้นน้่นเอง เราสามารดซื้อหุ้นมากขึ้นที่ใช้มาร์จิ้นเล็กน้อย
ถ้าอยากเปิดบัญชีและซื้อหุ้นสะดวกและง่ายดายมากขึ้น Mitrade เป็นการเลือกที่ยอดเยี่ยม ที่เป็นแพลตฟอร์มทรงพลัง รวมข้อมูลตลาดและฟังก์ชั่นการเทรด ใช้งานได้ง่ายทั้งบนเว็บและมือถือ ช่วยเราทราบแนวโน้มของตลาดในเวลาใดและเทรดได้ทันที นอกจากนี้ ยังมีข้อดีคือ ไม่ต้องเสียภาษีเพิ่มเติมที่ใช้ CFD เนื่องจากเป็นเพียงสัญญา
เหมาะกับนักลงทุนที่มีงบลงทุนน้อย รับความเสี่ยงได้สูง ชอบเก็งกำไรและสามารถทำกำไรได้จากการทำธุรกรรมระยะสั้น
添加按钮
สรุป
สุดท้าย ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหน การลงทุนก็มีเสี่ยงต้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนหุ้นต่างประเทศ แต่ก็หมายความว่าเราจะมีทางเลือกมากขึ้น อาจจะได้รับผลตอบแทนมากขึ้น ดังนั้น เราควรคำนึงถึงประเด็นต่อไปนี้ก่อนลงทุนหุ้นต่างประเทศ:
- ดูกราฟและดูงบการเงินก่อน
ให้ความสนใจศึกษาสภาพการดำเนินงานของบริษัท งบการเงิน และอื่น ๆ เช่นจะใช้ Investing.com – ราคาซื้อขายในตลาดหุ้น & ข่าวการเงิน ดูได้ เว็บไซต์นี้จะหาข้อมูลบริษัทที่เกี่ยวข้องได้ อยากรู้ว่า หุ้นนี้เป็นอย่างไรจะน่าซื้อ อ่าน 瞄点
- ระวังความเสี่ยงค่าเงิน
โดยทั่วไป หุ้นต่างประเทศต้องซื้อขายเป็นดอลลาร์สหรัฐหรือสกุลเงินท้องถิ่น เราต้องแลกเปรี่ยนเงินบาทเป็นสกุลเงินที่อื่น จึงจะสามารถเทรดได้ อย่างนี้จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงค่าเงินของอัตราแลกเปลี่ยน แล้วควรเปลี่ยนเท่าไหร่และเมื่อใดนะคะ
ถ้าเราคิดลงทุนหุ้นต่างประเทศเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเงินประจำวัน ก็ไม่ต้องรีบแลกเงินตราต่างประเทศที่ได้รับกลับเป็นเงินบาท เพระกำไรนั้นมากเพียงพอ และเงินส่วนน้อยที่สูญเสียไปเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน หากค่าเงินบาทแข็งค่า ก็จะกลายเป็นโอกาสในการทำกำไรเพิ่มเติม
หากรู้สึกว่าบทความนี้มีความช่วยคุณมาก สามารถแสดงความคิดเห็นด้านล่างเพื่อให้ผู้เขียนรู้ว่ากำลังได้รับการสนับสนุนอยู่นะ